โรคหลอดเลือดโป่งพองในสมอง.. ป้องกันได้ไหม?

โรคหลอดเลือดโป่งพองในสมอง (Cerebral aneurysm) คือ ภาวะที่ผนังของหลอดเลือดบางจุดไม่แข็งแรงจากปัจจัยต่างๆจนเกิดการโป่งพองขึ้น  อัตราการเกิดหลอดเลือดโป่งพองในสมองคิดเป็น 0.4-3.2 % ของประชากรทั่วโลก เป็นภาวะที่ไม่ได้พบบ่อย ส่วนใหญ่ (50-80%) ไม่แตกและไม่แสดงอาการถ้ามีขนาดเล็กในตำแหน่งที่ความเสี่ยงต่ำ การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติทางระบบประสาท บางครั้งอาจพบหลอดเลือดโป่งพองได้ในภาพทางรังสีจากการตรวจรักษาภาวะอื่นๆ แต่กรณีที่หลอดเลือดโป่งพองในสมองนั้นแตก อาจมีอาการเกิดขึ้นแบบรุนแรงและรวดเร็ว ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตหรือเกิดความพิการได้ 40-50%  มีโอกาสเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล 15%  และประมาณ 2 ใน3 ของผู้ป่วยที่รอดชีวิต อาจจะมีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น อาการอ่อนแรง ความจำแย่ลง โดยอัตราการเกิดหลอดเลือดโป่งพองในสมองแตก คือ 6-16 คนในประชากร 100,000 คน ถือว่าพบได้น้อยมากแต่จัดเป็นภัยเงียบที่อันตรายมาก เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อผนังหลอดเลือดเริ่มมีการปริแตก ผู้ป่วยบางราย อาจมีเวลาพอให้รู้ตัวจากสัญญาณเตือน คือ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและฉับพลัน (10-40%) มีการมองเห็นที่ผิดปกติ หรือมีหนังตาตก (มีรายงานว่าอาจเป็นวันถึงสัปดาห์) แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงได้ในเวลาสั้นๆจนสับสน ซึม หมดสติ หรือมีอาการชักเกร็ง จึงเป็นโรคที่ต้องตระหนักถึงเสมอ เพราะถ้าผู้ป่วยรีบพบแพทย์จนได้รับการวินิฉัยและรักษาทันเวลา ระดับความรุนแรงของความพิการและอัตราการตายอาจจะลดลง อาการแสดงของโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองที่ปริแตกคือ 1.ปวดศีรษะแบบทันทีทันใดและรุนแรงมากที่สุดในชีวิต (thunderclapContinue reading “โรคหลอดเลือดโป่งพองในสมอง.. ป้องกันได้ไหม?”

การดูแล ventriculostomy (EVD) เบื้องต้นสำหรับ Non-neurosurgeon: Practical Points

Ventriculostomy คือหัตถการใส่สายระบายเข้าไปในโพรงสมอง (ventricle) เพื่อระบายน้ำในโพรงสมอง (CSF) ข้อบ่งชี้ในการทำหัตถการคือ เพื่อ monitor intracranial pressure (ICP) และสามารถช่วยลด ICP ที่สูงโดยการระบาย CSF ผ่านทาง ventriculostomy การวางสาย ventriculostomy จะสามารถควบคุมการไหลเข้าออกของน้ำในโพรงสมองเพื่อควบคุมความดันภายในสมองได้โดยการยกสูงหรือต่ำตามความดันที่อยากได้ขึ้นกับการประเมินของประสาทศัลยแพทย์ ตามที่ระบุไว้ใน order การติดตั้งความหมายของการยก ventriculostomy (ซม. เหนือระดับอ้างอิง) แปลว่าหากความดันในโพรงสมองของผู้ป่วยสูงกว่าความสูงที่ตั้งไว้ จะมีการไหลออกของน้ำในโพรงสมองเพื่อปรับความสมดุลของความดันในสมอง ฉะนั้น หากตั้ง ventriculostomy ต่ำ จึงแปลว่าน้ำในโพรงสมองจะไหลออกมาด้านนอกได้ง่ายกว่าตั้ง ventriculostomy สูง การวัดความสูงของ ventriculostomy ควรวัดจากจุดอ้างอิงของผู้ป่วย (โดยทั่วไปใช้รูหู) ไปจนถึงจุดสูงสุดของระบบ เช่น หาก order ว่า “ยก ventriculostomy 20 ซม” แปลว่าจุดสูงสุดของสายยางในระบบ จะสูงกว่ารูหูคนไข้ 20ซม. โดยการวางห่างหรือใกล้ตัวผู้ป่วยในแนวราบนั้นไม่สำคัญ ตัวอย่าง: ทั้งนี้ ReferenceContinue reading “การดูแล ventriculostomy (EVD) เบื้องต้นสำหรับ Non-neurosurgeon: Practical Points”

Surgical Treatment for Chronic Headaches and Migraines

สำหรับใน topic นี้ อยากจะขอแนะนำงานที่แพร่หลายในต่างประเทศมากว่า 20 ปี แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองไทยมากนัก คืองานด้าน migraine surgery งานด้าน migraine surgery เอง มีจุดเริ่มต้นมาจากการศึกษาในผู้ป่วยที่ทำศัลยกรรมความงามในปี 2020 โดย Guyuron และคณะ ศึกษาผู้ป่วยที่ผ่าตัดกล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตาที่เรียกว่า Corrugator supercilii ซึ่งกล้ามเนื้อนี้เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่รอบเบ้าตา ทำหน้าที่ดึงคิ้วเข้ามาทาง medial และ inferior เวลากล้ามเนื้อนี้มีการทำงาน ก็จะทำให้เกิด vertical wrinkle บริเวณ glabella กล้ามเนื้อนี้จะมีเส้นประสาทซึ่งเป็น branches ของ trigeminal nerve ได้แก่ supraorbital และ supratrochlear แทงทะลุกล้ามเนื้อขึ้นมา เพื่อไปเลี้ยง sensation ของผิวหนังบริเวณหน้าผาก จนถึง vertex Guyuron และคณะ ได้ศึกษากลุ่มผู้ป่วยที่เป็น migraine หลังการผ่าตัดกล้ามเนื้อดังกล่าว พบว่าอาการของ migraineContinue reading “Surgical Treatment for Chronic Headaches and Migraines”

รู้เท่าทันเนื้องอกหลัง

ลักษณะทางกายวิภาคของไขสันหลังมีความซับซ้อนและมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับสมอง ไขสันหลังและรากประสาทเป็นตัวเชื่อมและประสานการทำงานระหว่างสมองและเส้นประสาทเพื่อรับส่งสัญญาณไปที่อวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต ระบบการหายใจ การขับถ่าย และยังรวมไปถึงการควบคุมการเคลื่อนไหวและรับความรู้สึก รอยโรคที่มีผลกระทบต่อการทำงานของไขสันหลังจึงอาจทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางระบบประสาทได้หลายอย่าง เช่น ปวด ชา อ่อนแรง ที่รบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน  ในกรณีที่รอยโรคมีขนาดใหญ่มากพอหรืออยู่ในตำแหน่งที่สำคัญอาจทำให้พิการหรือส่งผลรุนแรงจนมีโอกาสเสียชีวิตได้ เนื้องอกที่สันหลังอาจเป็นเนื้องอกที่เกิดจากเนื้อเยื่อบริเวณนี้เองหรือจากมะเร็งที่ลุกลามแพร่กระจายมาก็ได้  อาจเกิดที่กระดูก เม็ดเลือด ระบบประสาท หรือเนื้อเยื่ออื่นรอบๆ  ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแตกต่างกัน  โดยทั่วไปเนื้องอกสันหลังที่เกิดจากเนื้อเยื่อบริเวณนี้เอง พบได้น้อยในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 30 ปี และมักเป็นชนิดไม่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกอาจแยกได้ยากจากผู้ป่วยที่มีอาการปวดจากโรคทางกระดูกสันหลังทั่วไป ซึ่งมักมีอาการมากขึ้นเมื่อใช้งานผิดท่าหรือใช้งานมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้องอกที่ไม่ใช่เนื้อร้ายมักจะมีการโตอย่างช้าๆ อาจอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญนัก ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลย แต่หากผู้ป่วยมีเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้าย อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆและมีอาการทางระบบประสาทได้หลากหลายในเวลาสั้นๆ  นอกจากนี้อาจพบอาการข้างเคียงที่เกิดร่วมได้ด้วย เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นใส้ อาเจียน น้ำหนักลด  ทั้งนี้มะเร็งทุกชนิดสามารถลุกลามหรือแพร่กระจายมาที่กระดูกสันหลังได้และมีผลต่อความเสถียรของกระดูกและระบบประสาทได้ ที่พบได้บ่อย คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งต่อมลูกหมาก           อาการที่ต้องระวังเป็นพิเศษและแนะนำให้พบแพทย์ คือ อาการปวดหลังที่ไม่สัมพันธ์กับการใช้งานผิดท่าหรือใช้งานมากเกินไป อาการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนรบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน Continue reading “รู้เท่าทันเนื้องอกหลัง”

การใช้อุปกรณ์เฝือกพยุงหลัง

งานกายอุปกรณ์ กลุ่มงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ โทร. 02-306-9899  ต่อ 3173 เฝือกพยุงหลัง (Lumbosacral support) เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ใช้คาดบริเวณบั้นเอวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมอาการปวดหลังและเตือนให้จำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังระดับบั้นเอว (บริเวณหลังส่วนล่าง) หลักการทำงาน เพื่อช่วยในการกระชับกล้ามเนื้อด้านหน้าและด้านข้าง (Anterior and Lateral trunk containment) โดยเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้องและส่งผลต่อการลดแรงกดทับที่กระทำต่อหมอนรองกระดูกและกระดูกสันหลังระดับบั้นเอวส่วนล่าง (Lumbosacral spine)และช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อหลังส่วนเอว วิธีการใส่อุปกรณ์ 1. ผู้ป่วยพลิกตะแคงตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยพลิกให้ไหล่และสะโพกไปพร้อมกัน และอาจงอเข่าเพื่อให้ง่ายต่อการพลิกตัว 2. นำอุปกรณ์พยุงหลังเข้าไปวางด้านหลังลำตัวผู้ป่วยโดยให้ขอบล่างของอุปกรณ์อยู่บริเวณก้นกบ และแนวแกนโลหะอยู่ขนาบข้างแนวกระดูกสันหลัง และสอดปลายอุปกรณ์ไว้ข้างลำตัว 3. พลิกตะแคงตัวมาด้านตรงข้าม ดึงปลายและจัดอุปกรณ์พยุงหลังให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม 4. พลิกตัวกลับมาในท่านอนหงาย แขม่วท้องแล้วติดแถบรัดของอุปกรณ์ทางด้านหน้าให้กระชับ วิธีการถอดอุปกรณ์ 1. ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย ดึงแถบรัดของอุปกรณ์พยุงหลังออกจากกัน 2. ผู้ป่วยพลิกตะแคงตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยพลิกให้ไหล่และสะโพกไปพร้อมกัน นำอุปกรณ์พยุงหลังออกจากตัวผู้ป่วย ข้อแนะนำการใช้ 1. แผ่นโลหะตามด้านหลัง ควรได้รับการดัดให้เข้ากับแนวความโค้งของกระดูกสันหลัง 2. ควรดึงสายรัดให้แน่นกระชับพอดี ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไปเพราะจะไม่ได้ประสิทธิภาพ 3. ควรใส่เฉพาะเวลาลุกนั่งContinue reading “การใช้อุปกรณ์เฝือกพยุงหลัง”

การใช้อุปกรณ์เฝือกพยุงคอ

งานกายอุปกรณ์ กลุ่มงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ โทร. 02-306-9899  ต่อ 3173 เฝือกพยุงคอ เป็นกายอุปกรณ์เสริมที่ใช้คาดบริเวณลำคอ     โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมกล้ามเนื้อและจำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกช่วงคอ เหมาะกับ ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ และ ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทที่ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณคอได้ หลักการทำงาน เพื่อประคองและป้องกันช่วงลำคอให้มีการเคลื่อนไหวที่น้อยลง ช่วยเตือนผู้ใส่ไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหว โดยการป้อนกลับของประสาทสัมผัส (sensory feedback) ช่วยรองรับและพยุงน้ำหนักของส่วนศีรษะแทนส่วนลำคอและกระดูกคอ การทำความสะอาด ควรซักทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่หรือผงซักฟอก ล้างด้วยน้ำสะอาดและนำไปตากในที่ร่มให้แห้งสนิท  ไม่ควรใส่ทั้งที่อุปกรณ์ยังเปียกหรือชื้นอยู่ เพราะจะให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียได้ 1. เฝือกพยุงคอชนิดอ่อน (Soft Collar) ใช้เป็นเครื่องเตือนและประคอง เพื่อลดการเคลื่อนที่ของส่วนคอให้น้อยลง มีส่วนช่วยในการลดการเกร็งและบรรเทาอาการปวดต้นคอเพื่อเลี่ยงอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อที่ไม่ใช่กระดูก วิธีการใส่อุปกรณ์ นำเฝือกทาบที่ลำคอโดยให้ตีนตุ๊กแกอยู่ด้านหลัง  และส่วนที่เว้าทาบด้านหน้าเพื่อรองรับคาง จัดเฝือกให้กระชับลำคอและติดตีนตุ๊กแกให้กระชับ 2. เฝือกคอฟิลาเดเฟีย (Philadelphia Collar) ใช้เพื่อจำกัดและป้องกันการเคลื่อนที่ของส่วนคอ เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาในส่วนของกระดูกคอเช่น อาการปวดหรือบาดเจ็บที่เกิดจากภาวะกระดูกส่วนคอเสื่อม   กระดูกส่วนคอเคลื่อน เป็นต้น วิธีการใส่อุปกรณ์ 1. นำเฝือกชิ้นส่วนหลังทาบที่ลำคอด้านหลังให้พอดี 2. นำชิ้นส่วนหน้า(ชิ้นที่มีรู)มาทาบรองรับส่วนคาง โดยให้คางวางอยู่บนร่องภายในตัวเฝือกชิ้นหน้า 3. ประกบชิ้นหน้าทับชิ้นหลังContinue reading “การใช้อุปกรณ์เฝือกพยุงคอ”

อาการปวดคอเรื้อรัง

(Chronic Neck Pain) งานกายภาพบำบัด กลุ่มงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ อาการปวดคอเรื้อรัง อาการปวดคอเรื้อรัง หมายถึง อาการปวดคอต่อเนื่อง หรือเป็นๆหายๆมากกว่า 3 เดือน บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปศีรษะ หรือปวดร้าวไปบ่า ไหล่ มือข้างใดข้างหนึ่ง สาเหตุของการปวดคอ 1.กล้ามเนื้อคอหดเกร็งจากท่าทางในกิจวัตรประจำวันที่ผิด หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป หรือจากภาวะความเครียดทางจิตใจ2.กล้ามเนื้อคอเคล็ดหรือยอกเฉียบพลัน จากการใช้งานมากเกินไป หรือการเคลื่อนไหวแบบเร็ว หรือรุนแรงเกินไป3.ภาวะกระดูกคอเสื่อม โดยอาจเป็นความเสื่อมตามอายุหรือจากการใช้งาน4.หมอนรองกระดูกคอเคลื่อน จากการบาดเจ็บหรือความเสื่อมของหมอนรองกระดูก ทำให้มีการยุบตัวและเคลื่อนที่5.การบาดเจ็บของกระดูกคอ กระดูกคอหักหรือเคลื่อนจากอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น ตกจากที่สูง อุบัติเหตุจากยานพาหนะ6.สาเหตุอื่นๆ เช่น เนื้องอกการติดเชื้อ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ และวางแผนการรักษาให้ถูกต้องและเหมาะสม การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีอาการปวดคอ ประกอบด้วย1.การออกกำลังกล้ามเนื้อคอ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน2.การออกกำลังแบบยืดเหยียด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และลดอาการปวดเกร็ง3.การออกกำลังแบบแอโรบิกเพื่อสร้างความแข็งแรงพื้นฐาน เช่น เดิน ว่ายน้ำ โยคะ ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 1.ท่าบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรง บริหารกล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของคอ ทุกท่าให้เกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ นับ 1-3 แล้วคลายออก ทำ 10คร้ังContinue reading “อาการปวดคอเรื้อรัง”

การป้องกันโรคปวดหลัง

งานกายภาพบำบัด กลุ่มงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ การใช้ชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง ป้องกันการปวดหลังได้ การบริหารกล้ามเนื้อ ขณะบริหารกล้ามเนื้อไม่ควรกลั้นหายใจ สามารถทำเพิ่มได้หลายชุดต่อวัน หากมีอาการปวด ชา เพิ่มมากขึ้นให้งดท่านั้น และปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด

กลุ่มอาการเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome)

ลักษณะทางกายวิภาคของข้อมือจะมีเส้นประสาทมีเดียน (Median nerve) วางตัวคู่กับเอ็นนิ้วมือซึ่งมีปลอกน้ำหุ้มรอบเอ็น  ทั้งเส้นประสาทและเอ็นนี้จะลอดผ่านช่องเพื่อเข้าสู่อุ้งฝ่ามือ เรียกช่องนี้ว่า carpal tunnel  ช่องนี้เกิดจากกระดูกและแผ่นเนื้อเยื่อบางๆแต่มีความแข็งแรงที่ขึงระหว่างกระดูกข้อมือ (ดังรูปที่ 1)  เมื่อแผ่นเนื้อเยื่อนี้หนาขึ้นจนทำให้ช่องลอดแคบลงหรือเมื่อโครงสร้างในช่องลอดขยายขึ้นจะเกิดแรงดันภายในช่องนี้มากขึ้นจนมีการกดเบียดเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาท  ทำให้เกิดกลุ่มอาการของเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ  หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้รบกวนชีวิตประจำวัน  และหากยังปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้เส้นประสาทเสียหายถาวรได้ รูปที่ 1 แสดงภาพโครงสร้างและกายวิภาคของข้อมือ สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยกลางคน  โดยทั่วไปมักพบว่าเพศหญิงเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชาย 3 เท่า  นอกจากนี้ยังพบได้ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหรือเหตุอื่นๆที่ทำให้ช่องลอดนี้แคบลงหรือทำให้โครงสร้างในช่องลอดขยายขึ้นจนเกิดแรงดันภายในช่องมากขึ้น เช่น ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง (ภาวะไทรอยด์ต่ำ วัยหมดระดู การใช้ยาคุมกำเนิด)  รูมาตอยด์  เบาหวาน  ภาวะอ้วนมากๆ  การบาดเจ็บของข้อมือและมีกระดูกงอก  การสูบบุหรี่จัด (ทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณฝ่ามือลดลง)  อาจพบได้มากขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ช่วงที่เนื้อเยื่อมีการบวมขึ้น ซึ่งอาการจะหายไปหลังคลอด  มักพบร่วมกับโรคนิ้วล็อค (Trigger finger) เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงลักษณะเดียวกัน จากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงคือผู้ใช้งานข้อมือเป็นจุดหมุนในท่าเดิมๆซ้ำๆเป็นเวลานาน เช่น กวาดบ้าน รีดผ้า เย็บผ้า ซักผ้า บิดผ้า ทำครัวหรือหิ้วถุงในท่างอข้อมือ จับพวงมาลัยขณะขับรถ การสั่นกระแทกจากด้ามจับของเครื่องมือทำงานก่อสร้าง เป็นต้น  ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการทำงาน การเล่นเกมหรือใช้สื่อในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์ โดยไม่ได้ใส่ใจสุขภาพทำให้ข้อมืออยู่ในท่างอหรือเหยียดมากเกินขอบเขตปกติซ้ำกันเป็นเวลานานContinue reading “กลุ่มอาการเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome)”

การผ่าตัดเพื่อรักษาหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated Disc Procedure)

สาเหตุของอาการปวดหลังบริเวณเอวส่วนล่าง การป้องกันอาการปวดตั้งแต่ยังอายุไม่มาก หมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท (Herniated disc)          หมอนรองกระดูกสันหลัง (รูปที่ 1) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เนื้อเยื่อแกนกลางทำหน้าที่รับน้ำหนักและกระจายแรงกดไปสู่เนื้อเยื่อรอบๆ และส่วนเปลือกหุ้มชั้นนอกเป็นส่วนที่หนาและแข็งแรง เมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมจะทำให้เนื้อเยื่อแกนกลางเริ่มฉีกขาด และเกิดการอักเสบ  ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเฉียบพลัน  และเมื่อการฉีกขาดรุนแรงถึงส่วนเปลือกหุ้มจะปวดมากขึ้นจนอาจปวดเรื้อรัง (รูปที่ 2)         ในรายที่เปลือกหุ้มมีการฉีกขาดมากๆ  จะมีส่วนเนื้อเยื่อแกนกลางเริ่มปูดยื่น เกิดการรบกวน รากประสาทหรือเส้นประสาทที่วิ่งไปเลี้ยงขา  หากส่วนนี้เคลื่อนออกมามากขึ้น (รูปที่ 3 และรูปที่ 4) จะกดทับรากประสาทได้  ทำให้ผู้ป่วยอาจปวดตั้งแต่บริเวณเอว สะโพก ต้นขา น่อง ไปถึงบริเวณเท้าและนิ้วเท้า  หากรากประสาทถูกกดทับหรืออักเสบนานๆอาจมีอาการชาขาหรืออ่อนแรงกล้ามเนื้อขามัดที่เลี้ยงด้วยรากประสาทที่ถูกกดทับนั้น สาเหตุของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับรากประสาท  เกิดจากการยกของหนักเกินกำลังและ/หรือยกผิดท่าบ่อยๆ  น้ำหนักตัวมากเกินไป  นั่งทำงานด้วยอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องนานๆ  อุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่อกระดูกสันหลัง การวินิจฉัย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวส่วนล่าง อาจมีปวดร้าว ไปสะโพกหรือขา  มักปวดมากขึ้นในท่านั่งหรืองอตัวไปทางด้านหน้า ซึ่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกได้รับ แรงกดทับมากที่สุด   อาการมักดีขึ้นในท่านอน โดยทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติม เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการปวดหลังจะดีขึ้นใน 2Continue reading “การผ่าตัดเพื่อรักษาหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated Disc Procedure)”